น้ำบลูเบอร์รี่
น้ำบลูเบอร์รี่ เป็นผลไม้ที่เปี่ยมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระอย่างวิตามินซี จึงช่วยบำรุงสุขภาพโดยรวมได้เป็นอย่างดี และยังมีผลดีต่อระบบการไหลเวียนของเลือด มีประโยชน์ต่อระบบหลอดเลือดหัวใจ
ส่วนผสม
- บลูเบอร์รี่ 120 กรัม
- น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา
- น้ำเปล่า 60 มล.
- น้ำแข็ง 30 กรัม
- เครื่องปั่นผลไม้ 1 เครื่อง
วิธีการและขั้นตอนการทำ
น้ำบลูเบอร์รี่ปั่น
1.เลือกบลูเบอร์รี่ที่สุก ขนาดกำลังพอดี มีความสดใหม่ รสชาติหอมหวานอร่อย เตรียมไว้
2.จากนั้นนำบลูเบอร์รี่ นำมาล้างน้ำ ทำความสะอาด แล้วสะเด็ดน้ำออก เตรียมไว้
3.จากนั้นเตรียมส่วนผสม ทำน้ำบลูเบอร์รี่ปั่น ได้แก่ น้ำเปล่า น้ำผึ้ง น้ำแข็ง เตรียมไว้
4.จากนั้นนำบลูเบอร์รี่ ที่ล้างน้ำเตรียมไว้ มาใส่ในเครื่องปั่นผลไม้ แล้วใส่น้ำเปล่า น้ำผึ้ง และน้ำแข็งใส่ลงไป
5.จากนั้นกดเครื่องปั่นผลไม้ แล้วปั่นๆ ส่วนผสมทุกอย่าง ให้ได้ละเอียดเข้ากันดี
6.จะได้น้ำบลูเบอร์รี่ปั่น ที่ปั่นผสมกันละเอียด ได้ตามที่ต้องการดีแล้ว
7.จากนั้นนำน้ำบลูเบอร์รี่ปั่น ที่ปั่นได้ละเอียดได้ตามต้องการแล้ว นำมาเทใส่แก้ว ที่เตรียมไว้ พร้อมจัดเสิร์ฟ
8.น้ำบลูเบอร์รี่ปั่นหอมๆ รสชาติหอมหวาน อร่อยเย็นๆ มีประโยชน์ต่อสุขภาพ สดสะอาด หอมเย็นชื่นใจ
9.จัดเสิร์ฟ น้ำบลูเบอร์รี่ปั่นหอมๆ รสชาติหอมหวาน อร่อยเย็นๆ อุดมไปด้วยวิตามินต่างๆ มากมายหลายชนิด มีประโยชน์ต่อร่างกายมาก ดีต่อสุขภาพมาก ดื่มแล้วสดชื่นเพื่อสุขภาพ ดื่มแล้วเย็นสดชื่นมาก
10.น้ำบลูเบอร์รี่ปั่นหอมๆ รสชาติหอมหวาน อร่อยเย็นๆ อุดมไปด้วยวิตามินต่างๆ มากมายหลายชนิด มีประโยชน์ต่อร่างกายมาก ดีต่อสุขภาพมาก ดื่มแล้วสดชื่นเพื่อสุขภาพ ดื่มแล้วเย็นสดชื่นมาก
ประโยชน์ของบลูเบอร์รี่
1.เบอร์รี่เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งร่างกายต้องการเพื่อช่วยทำให้เซลล์ในร่างกายสามารถซ่อมแซมตัวเองจากโรคต่างๆ ได้ดีขึ้น รวมทั้งการรักษาบาดแผล การป้องกันโรคมะเร็ง ลดการเป็นโรคเลือดออกตามไรฟัน ตลอดจนถึงโรคเก๊าท์หรืออาการปวดตามข้อ2.บลูเบอร์รี่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ซึ่งมีส่วนช่วยเพิ่มประสิทภาพการทำงานของเซลล์ให้ดียิ่งขึ้น ช่วยลดการอักเสบของหลอดเลือดอันเป็นสาเหตุของโรคหัวใจ โรคทางประสาทและสมอง ช่วยป้องกันการเสื่อมของร่างกายและชะลอความแก่ชรา ฟื้นฟูการสร้างคอลลาเจนที่ผิว ทำให้ผิวแลดูอ่อนเยาว์ ริ้วรอยดูลบเลือนลง ทำให้ผิวดูอ่อนกว่าวัย และอาจช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้ด้วย (ข้อมูลของ USDA หรือ สถาบันวิจัยโภชนาการทางด้านสรีระศาสตร์ ได้ระบุว่าบลูเบอร์รี่จัดเป็นผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงที่สุด ซึ่งผลจากการทดสอบค่าที่เรียกว่า “ORAC” (Oxygen Radical Absorbance Capacity) ได้แสดงให้เห็นว่าบลูเบอร์รี่สดจะมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าผลไม้สดและผักชนิดอื่น)
3.ช่วยในเรื่องของระบบประสาทและสมอง ช่วยทำให้เซลล์สมองสามารถซ่อมแซมตัวเองได้ดีขึ้น ทำให้ความสามารถในการจำของเราดีขึ้น ป้องกันโรคอัลไซเมอร์ รักษาเซลล์สมองที่ถูกทำลาย โดยมีรายงานว่า ผศ.โรเบิร์ต คริโคเรียน แห่งศูนย์สุขภาพ มหาวิทยาลัยซินซินเนติในสหรัฐ ได้ทำการทดลองให้ผู้สูงอายุที่เริ่มมีอาการหลงๆ ลืมๆ ได้ดื่มน้ำบลูเบอร์รี่คั้นสดวันละ 2 แก้ว เป็นเวลา 3 เดือนติดต่อกัน ผลการทดลองพบว่า ผู้สูงอายุเหล่านั้นมีความทรงจำที่ดีขึ้น จึงเชื่อว่าผลบลูเบอร์รี่ดิบๆ จึงน่าจะมีประโยชน์ต่อผู้ป่วยโรคความจำเสื่อมด้วย
4.บลูเบอร์รี่เป็นอาหารเสริมที่ดีสำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจ เพราะช่วยทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง
5.บลูเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่มีสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ประกอบอยู่ โดยเป็นสารจำพวกฟลาโวนอยด์ที่มีสีแดงอมม่วง สารนี้มีประโยชน์ช่วยทำให้หลอดเลือดแข็งแรง ช่วยทำให้การไหลเวียนของเลือดในระดับที่เล็กมากขึ้น และช่วยในการทำงานของกระบวนการเมตาบอลิซึ่มของเซลล์เรตินา
6.สารแอนโทไซยาโนไซด์ (Anthocyanosides) เป็นสารที่มีคุณสมบัติเทียบได้กับสารไบโอฟลาโวนอยด์ สามารถช่วยทำให้เส้นเลือดฝอยแข็งแรง ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และสารชนิดนี้ยังเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการทำงานของไต และช่วยรักษาผู้ที่มีเส้นเลือดฝอยเปราะในอวัยวะที่ทำหน้าที่กรองของเสีย และสารแอนโธไซยาโนไซด์ชนิดหนึ่งคือสาร ไมร์ทิลลิน (Myrtliiln) เป็นสารสีน้ำเงินที่มีคุณสมบัติต่อต้านเชื้อแบคที่เรียได้ด้วย
7.สารแอนโทไซยานินที่พบได้มากในผลไม้ตระกูลเบอร์รี่รวมถึงบลูเบอร์รี่ มีส่วนช่วยในการป้องกันอาการอ่อนล้าจากการใช้สายตาหนัก ช่วยทำให้สายตาทำงานได้ดีขึ้นในที่มืด และยังช่วยป้องกันต้อกระจก ต้อหิน ต้อลม ช่วยลดความดันในลูกตา และลดความเจ็บปวดจากการบวมในลูกตา โดยข้อมูลจาก Archives of Ophthalmology ชี้ว่าการรับประทานบลูเบอร์รี่วันละ 3 ถ้วย จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคตาที่เกิดในวัยผู้ใหญ่ได้ด้วย
8.ช่วยทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า
9.ช่วยในเรื่องของระบบการย่อยอาหารและทำให้การขับถ่ายของร่างกายทำงานได้เป็นระบบมากขึ้น จึงช่วยป้องกันโรคท้องผูกและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ได้
10.บลูเบอร์รี่มีสาร Pterostilbene ที่ช่วยรักษาโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และตับ และยังมีกรด Ellagic ที่ทำงานควบคู่กับแอนโทไซยานิน และสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ป้องกันมะเร็ง โดยผลการวิจัยของ Journal of Agricultural and Food Chemistry ชี้ว่าบลูเบอร์รี่มีสารที่ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ และช่วยฆ่าเซลล์มะเร็งด้วย
11.ในเรื่องของระบบปัสสาวะ แบคทีเรียอีโคไลที่ผนังท่อทางเดินปัสสาวะเป็นสาเหตุของการติดเชื้อที่มีผลทำให้เกิดอาการอักเสบและรู้สึกแสบในขณะปัสสาวะ บลูเบอร์มีสารที่ทำให้แบคทีเรียชนิดนี้หยุดการเจริญเติบโต และช่วยล้างแบคทีเรียออกจากทางเดินปัสสาวะ
12.สำหรับผู้ที่กำลังหาวิธีควบคุมน้ำหนักหรือลดความอ้วนแบบง่ายๆ แต่ได้ผล แนะนำให้รองรับประทานบลูเบอร์รี่ เพราะผลไม้ชนิดนี้เป็นแหล่งของพลังงานชั้นยอดที่มีแคลอรี่ต่ำ ไม่ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น เพราะมีเส้นใยอาหารที่ช่วยทำให้เรารู้สึกอิ่มเร็วและอิ่มนานกว่าเดิม
13.บลูเบอร์รี่มีสารเพคตินที่สามารถช่วยในการลดระดับของคอเลสเตอรอล ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
14.จากการศึกษาของศูนย์หัวใจและหลอดเลือด มหาวิทยาลัยมิชิแกน ได้แสดงให้เห็นว่าบลูเบอร์รี่อาจช่วยลดไขมันหน้าท้อง และความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจได้ โดยพบว่าหนูทดลองที่รับประทานผงบลูเบอร์รี่ผสมในอาหารของหนู เป็นระยะเวลา 90 วัน มีไขมันหน้าท้องน้อยลง และระดับไตรกลีเซอไรด์ลดลง
15.บลูเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่เป็นตัวต่อต้านสารพิษ และช่วยล้างพิษในร่างกาย
16.วิตามินซีในผลบลูเบอร์รี่จะช่วยในการบำรุงผิวพรรณให้สดใส เปล่งปลั่ง และแก้มแดงมีเลือดฝาด
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น